ครั้งหนึ่งที่โรงเรียนในประเทศกานา คุณครูหยิบกระดาษขาวที่มีจุดดำ 1 จุดขึ้นมา ก่อนจะถามนักเรียนชั้น ป.6 ว่าเห็นอะไรในกระดาษแผ่นนี้บ้าง

ทุกคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเห็น “จุดดำ” อยู่ 1 จุด

เมื่อได้ยินอย่างนั้น ครูจึงบอกกับนักเรียนทุกคนว่า “น่าเสียดายนะ ที่ไม่มีใครเห็นสีขาวในกระดาษแผ่นนี้เลย ทั้งที่มันมีมากกว่าจุดดำด้วยซ้ำ ซึ่งการมีทัศนคติแบบนี้จะทำให้เราเป็นคนที่มีความทุกข์ไปทั้งชีวิตได้

คำสอนที่ดูธรรมดา แต่ทรงพลังของคุณครูในวันนั้น มีอิทธิพลต่อเด็กชายที่ชื่อ โคฟี อันนัน มาก ซึ่งต่อมาเมื่อเติบโตขึ้นมา เขาได้ดำรงตำแหน่งเลขานุการสหประชาชาติ เมื่อครั้งเกิดสงครามหรือเรื่องเลวร้ายอะไรขึ้นมา เขาจะมองเห็นสีขาวมากกว่าสีดำเสมอ จึงทำให้เขาเห็นสันติภาพและความงดงามในโลกและรู้สึกว่ามีโอกาสยุติสงครามได้

ในวันนี้เราทุกคนต้องเจอกับสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ระบาด คนส่วนใหญ่ต่างก็คิดว่าต่อจากนี้ชีวิตเราคงเจอแต่เรื่องเลวร้าย ต้องทำงาน Work from home ที่บ้านจนออกไปไหนไม่ได้ในช่วงล็อคดาวน์ หรือ มีความกังวลว่าจะโดนให้ออกจากงานหรือเปล่า แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นจะหารายได้จากที่ไหน ชีวิตคงต้องลำบากแน่ๆ ทุกวันนี้เราต่างมองโลกในแบบที่ไม่ต่างกับการมองเห็นเพียงจุดดำบนกระดาษขาว ทั้งที่ความจริง รอบๆ นั้นมันมี “โอกาส” ที่เปรียบเสมือนพื้นที่สีขาวบนกระดาษอีกเยอะแยะ

ตัวผมเองในช่วงที่ไวรัสโควิด-19 ที่ยังคงทำงานประจำ ผมเองก็ต้อง Work from home เหมือนกับหลายๆ คน สิ่งแรกเลย คือ ผมได้ฝึกทำอาหารกินเอง จากตอนแรกที่แทบจะกินไม่ได้ ตอนนี้สามารถทำให้คนอื่นกินได้แล้วชื่นชมว่ามันอร่อย แถมเงินในกระเป๋ายังเหลืออีกมากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ ทำให้มีเงินเก็บออมมากขึ้น จากที่แทบไม่เคยเหลือออมเลย

ในช่วงที่ผมเคว้งคว้างค้นหาเส้นทางของตัวเองไม่เจอ การล็อคดาวน์ทำให้ผมได้มีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น ได้คุยกับตัวเองมากขึ้น จนตอบคำถามตัวเองได้ว่าชีวิตผมต้องการอะไร

ความกังวลว่าวิกฤตครั้งนี้จะทำให้ผมโดนออกจากงานไหม ผลักดันให้ผมมองหาช่องทางรายได้เพิ่ม เพื่อรองรับหากต้องโดนออกจากงานจริงๆ ใครจะไปรู้ว่าท้ายที่สุด รายได้เสริมในวันนั้น มันจะมากเสียจนทำให้ผมตัดสินใจลาออกจากงานประจำด้วยตัวเอง เพื่อเดินทางตามความฝันครั้งใหม่

คนเราชอบลืมความสุข แล้วปล่อยความสุขให้วิ่งผ่านไปเป็นอากาศ แต่กลับจำความทุกข์ได้ดี เปรียบเสมือนการใช้แว่นขยายมองความทุกข์ ทำให้เวลาเกิดปัญหาจะเห็นมันใหญ่โตเกินความจริงทุกที

ถ้าให้เรานึกถึงความสุขในชีวิต ส่วนใหญ่เราจะต้องใช้เวลาคิดหาคำตอบสักระยะหนึ่งถึงจะตอบได้ แต่ถ้าให้นึกถึงเรื่องร้ายๆ ส่วนใหญ่เราจะนึกออกได้ทันทีเลย เข่น เคยโดนคนนั้นรังแกสมัยเด็ก เคยโดนครูตำหนิงานที่ทำส่ง เคยโดนเพื่อนร่วมงานดูถูกตอนทำงานใหม่ๆ

ดังนั้น ทัศนคติการมองเรื่องไม่ดีให้เป็นเรื่องใหญ่ของชีวิต แต่ปล่อยผ่านเรื่องราวดีๆ ให้ผ่านไปเฉยๆ จะมีโทษต่อตัวเรา คือ มันจะทำให้เราเป็นคนขี้กลัว มองโลกในแง่ร้ายมากเกินไป

ลองคิดภาพตัวเองดูเล่นๆ หากเราต้องตื่นมาแล้วไม่มีความสุข คิดเสมอว่าพรุ่งนี้ต้องแย่กว่าวันนี้ พรุ่งนี้ต้องเจอเรื่องเฮงซวยอีกแน่ๆ ทำไมเราช่างโชคร้ายเสียนี่กระไร ฉันไม่เก่ง ไม่กล้า ถ้าทำไปบรรลัยแน่ๆ

คำถาม คือ คุณอยากให้ตัวเองกลายเป็นแบบนั้นทั้งชีวิตจริงๆ เหรอ ?

ทุกวันนี้เวลาเราเล่น Social Media แล้วมีคนโพสต์จุดประเด็น หรือ แสดงความคิดเห็นต่อเหตุการณ์อะไรสักอย่าง หากคอมเมนต์แรกชี้นำไปในทางลบ คอมเมนต์ต่อๆ ไปก็มีแนวโน้มเป็นไปในทางลบ ตำหนิติเตียนหรือด่าทอตามกันไป ขนาดบางคนที่ทำความดีแท้ๆ ก็ไปขุด ไปจับผิด เรื่องที่เขาทำผิดพลาดเพียงเล็กน้อย โดยที่บางครั้งก็ยังพิจารณาไม่รอบด้าน และไม่รู้ที่มาที่ไปหรือข้อเท็จจริงว่าเป็นยังไงกันแน่

ทำให้เราหลงคิดไปว่าทำไมทุกวันนี้มันมีแต่เรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นในสังคม ทั้งที่ความจริงแล้วเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นมีเพียงนิดเดียวเท่านั้นเมื่อเทียบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในแต่ละวัน เพียงแต่คนส่วนใหญ่มักเอาเรื่องไม่ดีมาเผยแพร่บน Social Media มากกว่าเรื่องดีๆ เท่านั้นเอง

วันนี้ผมจึงขอเป็นส่วนหนึ่งที่จะเติมเรื่องราวดีๆ ลงใน Social Network ทุกวัน เพื่อให้ทุกคนตื่นมาเห็นแล้วมีแรงบันดาลใจ มีความรู้ที่จะได้นำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตต่อไป

และผมก็เชื่อว่าคุณเองก็เคยเจอเรื่องราวดีๆ มาแล้วมากมาย ผมจึงขอเชิญชวนทุกคนมาช่วยนำเรื่องดีๆ เหล่านั้นมาเติมลงใน Social Network อย่างน้อยคนละหนึ่งเรื่อง มันคงจะทำให้ผู้คนรอบข้างพบเจอกับความสุขที่รายล้อมอยู่รอบตัว และมีแรงผลักดันที่จะสู้ต่อไป

การเติมน้ำเปล่าลงในน้ำเกลือจะทำให้รสชาติและความเข้มข้นเจือจางลงได้ฉันใด การเติมความสุข ความสนุก หรือ เรื่องราวดีๆ ในแง่บวกให้ชีวิต ก็ช่วยให้ความรู้สึกแย่ๆ หรือ แม้แต่ความคิดลบๆ เบาบางลงฉันนั้น…

สร้างแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตจาก 7 คอลัมนิสด์ชื่อดังของเจาะใจ ได้ในหนังสือ เรื่องนี้ดี รู้งี้อ่านนานแล้ว

“เปลี่ยนตัวเองเป็นคนที่ดีขึ้น ด้วยการอ่านหนังสือดีๆ สักเล่ม”

Cr: เพจ #สมองไหล

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *