ใหญ่อย่างเอสซีจี ถึงกับเซ
เอสซีจีเป็นบริษัทใหญ่ใจกล้า ที่ออกมาแถลงข่าวผลประกอบการปี 2562 ก่อนรายอื่นๆทั้งๆที่ผลกำไรลดฮวบลงถึง 28%
.
เป็นการลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2559 ซึ่งเคยทำกำไรได้ 56,084 ล้านบาท เหลือเพียง 32,014 ล้านบาทในปี 2562 ที่ผ่านมา
.
มาดูทางฝั่งรายได้กันบ้าง ถึงแม้ยังคงยืนหยัดเพิ่มขึ้นเกือบทุกปี แต่ในปี 2562 ก็ทำได้เพียง 437,980 ล้านบาท ลดลงจากปี 2561ที่เคยทำได้ถึง 505,307 ล้านบาท
.
งานนี้ไวรัสอู่ฮั่น ยังไม่เกี่ยว แต่ด้วยเหตุผลเดิมๆคือพิษของค่าเงินบาท ความกังวลต่อสงครามทางการค้าจีนกับอเมริกา และภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่ยังคงชะลอตัว
.
ปัจจัยเพิ่มเติมสำคัญคือเคมิคอลล์ ธุรกิจหลักอยู่ในช่วงขาลงสุดๆ ทำให้กำไรลดลงอย่างมาก จาก 29,166 ล้านบาทในปี 2561 เหลือเพียง15,480 ในปี 2562 หรือลดลงถึง 46 %
.
รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ยอมรับว่า เคมิคอลล์คือปัญหาหนัก และเป็นความท้าทายอย่างมากๆของเอสซีจี
เพราะในช่วง หลาบสิบปีที่ผานมาเคมิคอลล์คือธุรกิจหลักที่ปั่นเม็ดเงินรายได้ และกำไร สูงที่สุดของเอสซีจี มากกว่าซีเมนต์ ที่เป็นเป็นธุรกิจดั้งเดิมด้วยซ้ำไป
.
ยังไม่พอปีที่แล้ว เอสซีจียังมีรายการจ่ายเงินชดเชยการเกษียณอายุตามกฎหมายแรงงานใหม่สูงถึง 2 พันกว่าล้านบาท
ส่งผลให้กำไรที่ควรจะเป็น 34,049 ล้านบาทเหลือเพียง 32,014 ล้านบาท
.
วันนี้ถ้าจะถามว่าในปี 2563 นี้ เป้าหมายการขายและกำไร ของเอสซีจี จะเป็นอย่างไรคงยังเป็นเรื่องที่ประเมินได้ยากมากๆ
.
ในเมื่อไวรัสอู่ฮั่น ยังไม่รู้จะจบอย่างไร เมื่อไหร่ ผลกระทบจะมากขนาดไหน ล่าสุดมีเรื่องไข้หวัดนกH5N1 มาอีกแล้ว ส่วน!สงครามการค้าจีนกับอเมริกา อาจจะคลี่คลายลงได้บ้าง แต่ยังไม่จบ เงินบาทก็ยังแข็ง เรื่องฝุ่นพิษ PM 2.5 ยังมีมาเรื่อยๆซึ่งส่งผลทางอ้อมต่อเศรษฐกิจไทยแน่นอน
.
ภัยแล้งยังเป็นปัญหา การลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐก็ได้แต่หวังว่าจะไม่ล่าช้าออกไปอีก ส่วนการก่อสร้างภาคเอกชนทั้งที่อยู่อาศัยและอาคารพาณิชย์แนวโน้มก็ไม่สดใส ในขณะที่สัดส่วนรายได้ของเอสซีจี จะมาจากภาคเอกชนถึง 65%
แล้วเอสซีจีจะฝ่าข้ามวิกฤติครั้งนี้ได้อย่างไร
ตามไปอัพเดทความคิดของผู้นำขององค์กรยักษ์ใหญ่ อายุ 106 ปีที่ยอมรับกันว่า รับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้ดีที่สุด องค์กรหนึ่งของเมืองไทยกัน
ใหญ่อย่าง “เอสซีจี” ยังกระเทือน เร่งยกเครื่องใหม่ทุกธุรกิจ
