โรคลายม์ เป็นโรคที่ไม่คุ้นหูคนไทยนัก แต่หากทราบว่ามีพาหะของโรคอย่าง “เห็บ” อาจทำให้หลายคนตื่นกลัว เพราะเห็บสามารถพบได้ง่ายในประเทศของเรา และอาจอยู่ตามซอกไรขนของสัตว์เลี้ยงของเรา และสัตว์ที่อยู่ตามถนนนอกบ้านได้
โรคลายม์ คืออะไร?
โรคลายม์เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า Borrelia spp. ที่มีการติดต่อผ่านการแพร่เชื้อจากเห็บที่กินเลือดจากสัตว์จำพวกสุนัข ม้า กวาง วัว ควาย หนู ที่เป็นตัวกักตุนโรค และนำเชื้อโรคเข้าสู่คนเมื่อมากัดกินเลือดคน โดยเห็บอาจกัดและดูดเลือดเป็นเวลา 24-48 ชั่วโมง เห็บจะมีตัวบวม และปล่อยเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่กระแสเลือดผ่านทางผิวหนัง
คนติดโรคลายม์ได้อย่างไร?
คนติดโรคลายม์ได้จากการถูกเห็บที่มีเชื้อกัด โดยเห็บต้องเกาะอยู่อย่างน้อย 24 ชั่วโมงจึงจะสามารถแพร่เชื้อเข้าสู่ร่างกายได้ เห็บในระยะตัวอ่อน (nymph) เป็นตัวแพร่โรคที่สำคัญที่สุด
โรคลายม์ พบได้ที่ไหน?
แม้ว่าในประเทศไทยอาจไม่ค่อยคุ้นหูนัก แต่อันที่จริงแล้วโรคลายม์สามารถพบได้ทั่วโลก
ปัจจัยเสี่ยงของโรคลายม์
คลุกคลีอยู่กับสัตว์จำพวกสุนัข ม้า กวาง วัว ควาย หนู ที่อาจดูแลความสะอาดได้ไม่ดีพอลุยป่า หรือเดินทางในเขตพื้นที่ร้อนชื้น เปียกแฉะ เดินในสนามหญ้า หรือบริเวณที่มีหญ้าขึ้นสูง โดยไม่มีการป้องกันร่างกายที่ดี อาจทำให้โดนเห็บกัด
อาการของโรคลายม์
1-2 สัปดาห์หลังจากถูกเห็บกัด อาจปรากฏรอยบวมแดงบริเวณที่ถูกเห็บกัดแล้วกลายเป็นผื่นวงกลมคล้ายเป้ายิงปืนขนาดใหญ่ (แต่อาจไม่พบในทุกรายที่ติดเชื้อ)
- มีไข้
- ปวดตามตัว
- คอแข็ง
- ปวดศีรษะ
หากติดเชื้อเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ไปจนถึงหลายเดือน อาจพบอาการปวดข้อที่มากกว่า 1 ข้อขึ้นไป เช่น ข้อเข่า ปวดและหายสลับกันไปเป็นระยะๆ อาจพบอาการข้อบวมนานเป็นปี ในระยะนี้อาจพบเห็นผื่นรูปกลมคล้ายเป้ายิงปืนจำนวนมากขึ้น ในบางรายพบว่ามีการแพร่ของแบคทีเรียไปสู่หัวใจ หรือสมองด้วย
การป้องกันโรคลายม์
หลีกเลี่ยงการเข้าพื้นที่ที่มีหญ้าสูง สนามหญ้า ป่า โดยไม่สวมเครื่องป้องกัน เช่น เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว รองเท้าบู้ท (เครื่องแต่งกายสีสว่างจะช่วยให้มองเห็นเห็บได้ง่าย) หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้สัตว์ที่อาจมีเห็บ เช่น สุนัข ม้า กวาง วัว ควาย หนู หากมีความจำเป็นต้องเข้าไปในพื้นที่ที่มีหญ้า หรือต้องเข้าใกล้สัตว์ต่างๆ ควรใช้สารกำจัด และป้องกันเห็บ
ควรสวมถุงมือ รองเท้าบู้ทให้เรียบร้อย เมื่อต้องลงมือกำจัดเห็บจากสัตว์เอง ทำความสะอาดร่างกายหลังไปในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงทันที หากมีอาการผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์
ที่มา: ขอขอบคุณ ข้อมูล :หน่วยปฏิบัติการวิจัยโรคอุบัติใหม่ และอุบัติซ้ำในสัตว์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,พบแพทย์